วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

16 คำถาม กับ เบต้ากลูแคน

1. Q: มะโฮคืออะไร
A: คือเบต้ากลูแคนที่มีโครงสร้าง “β 1,3-1,6 Glucan” เกิดจากการเพาะเลี้ยงยีสต์ดำ “Aureobasidium” ด้วยอาหารที่มีส่วนผสมของซูโครส รำข้าว วิตามินซี ผสมกับน้ำที่อุดมด้วยแร่ธาตุ ผลิตจากธรรมชาติ 100 % มีลักษณะเป็นของเหลวแบบเจล

2. Q: เบต้ากลูแคนคืออะไร
A: เบต้ากลูแคน คือสารประกอบประเภทน้ำตาลหลายโมเลกุลชนิดหนึ่ง เป็นใยอาหารที่ช่วยในระบบการย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย เบต้ากลูแคน ประกอบขึ้นจากน้ำตาลกลูโคส ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว กลูแคนหรือน้ำตาลกลูโคสนั้น แบ่งออกเป็น อัลฟากลูแคน และเบต้ากลูแคน ผลิตภัณฑ์ “มะโฮ” ของบริษัทแคทส์ ดอท คอม เป็นสารประเภทเบต้าที่สกัดจากยีสต์ดำหรือที่เรียกว่า “เบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำ” ซึ่งเบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำนี้เป็นโครงสร้างชนิดเบต้า 1,3 -1,6 กลูแคน

- กลูโคส คือน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่มีขนาดเล็กที่สุด ร่างกายสามารถเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานออกมาใช้ได้ทันที
- ซูโครส คือน้ำตาลโมเลกุลคู่ เป็นน้ำตาลที่ใช้ในการประกอบอาหารโดยทั่วไป
- น้ำตาลหลายโมเลกุล ประกอบขึ้นจากน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ตั้งแต่ 10 โมเลกุลขึ้นไป พบในกลูแคน เพกติน หรือเดกซ์-ตริน (สารประกอบคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง) เป็นต้น

3. Q: เบต้ากลูแคน พบได้จากที่ไหน
A: เบต้ากลูแคน พบได้ในพืชบางชนิด เช่น เห็ด ผักสมุนไพรต่างๆ (โสม ชะเอมเทศ ฯลฯ) ยีสต์ (ยีสต์ดำ ยีสต์ขนมปัง) และราเส้นใย เป็นต้น สำหรับเบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำ เกิดจากการเพาะเลี้ยงยีสต์ดำโดยเฉพาะ ซึ่งตัวยีสต์ดำจะสร้างใยอาหารเบต้ากลูแคนบริสุทธิ์ที่มีโครงสร้างเบต้า1,3 -1,6 กลูแคนขึ้นมาในรูปแบบเจล

4. Q:เบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำ และเบต้ากลูแคนที่พบในเห็ด ต่างกันหรือไม่ อย่างไร
A: เบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำและเบต้ากลูแคนที่พบในเห็ดเป็นโครงสร้าง1,3 -1,6 กลูแคนเหมือนกัน ส่วนความแตกต่างคือ เห็ดเป็นสมุนไพรที่มีสารอาหารและคุณประโยชน์มากมายหลายชนิดและหนึ่งในสารเหล่านั้นคือ เบต้ากลูแคน จริงอยู่ที่ผู้บริโภครับประทานเห็ดแล้วจะได้รับสารเบต้ากลูแคน แต่จะได้รับในปริมาณที่น้อยกว่าการรับประทานเบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำ และในบางรายอาจเกิดอาการแพ้สารบางชนิดในเห็ดที่ทานเข้าไป ดังนั้นผู้ที่รับประทานเบต้ากลูแคนที่สกัดจากยีสต์ดำ ร่างกายจะได้รับเฉพาะสารเบต้ากลูแคนบริสุทธิ์จากธรรมชาติ 100% และปราศจากผลข้างเคียงต่อร่างกาย

5. Q:ใครบ้างที่ควรบริโภคเบต้ากลูแคน
A: “เบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำ” ของบริษัทแคทส์ ดอท คอม เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ “ไม่ใช่ยารักษาโรค”
อยู่ในรูปเจล สะดวก รับประทานง่าย ดังนั้นไม่ว่าใครก็สามารถรับประทานเพื่อบำรุงสุขภาพได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีอาการของโรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยภาวะติดเชื้อ ผู้เข้ารับการบำบัดรักษามะเร็งด้วยวิธีผ่าตัด ยาเคมี ฉายรังสี ผู้ที่เสี่ยงภาวะโรคหัวใจ ช่วยสมานรอยบาดแผล ลดการอักเสบ ชะลอริ้วรอยก่อนวัยจากการสัมผัส มลภาวะ รังสียูวี สารพิษที่ปนเปื้อนในอาหาร นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้กับสัตว์ ช่วยให้สัตว์ฟื้นจากอาการป่วยได้อย่างรวดเร็ว

6. Q:ควรบริโภคเบต้ากลูแคนในปริมาณเท่าไร และเวลาไหนที่เหมาะกับการบริโภคเบต้ากลูแคน
A: ใน 1 วันควรรับประทานเบต้ากลูแคนอย่างน้อย 2-3 ซอง ตามปกติเราสามารถทานมะโฮได้ทุกช่วงเวลา แต่เพื่อรักษาประสิทธิภาพการทำงานของเบต้ากลูแคน ช่วงเวลาที่เหมาะสมควรรับประทานตอนท้องว่างจึงจะได้ผลดีที่สุด อาจเป็น เวลาเช้าหรือก่อนนอน สาเหตุเนื่องมาจาก

•เวลาเช้า หลังจากตื่นนอนเป็นช่วงเวลาที่กระเพาะอาหารและระบบลำไส้ไม่ต้องทำงานหนักในการย่อยอาหาร เบต้ากลูแคนจะถูกดูดซึมที่บริเวณเยื่อบุลำไส้เล็ก ซึ่งเป็นการกระตุ้นระบบภูมิต้านทานโรคได้ดี
•เวลาก่อนนอน ขณะที่ร่างกายนอนหลับพักผ่อน ระบบเซลล์ต่างๆรวมถึงภูมิต้านทานในร่างกายจะทำงานอย่างเต็มที่ เบต้ากลูแคนจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของภูมิต้านทานในการต่อสู้เชื้อโรค สิ่งแปลกปลอมและซ่อมแซมเซลล์ส่วนต่างๆของร่างกายให้แข็งแรง อีกทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระที่มาจากการทำงานหนักมากเกินไปของเซลล์ร่างกาย

7. Q:ลักษณะกลิ่นและรสชาติของเบต้ากลูแคนเป็นอย่างไร รับประทานยากหรือไม่
A: รสชาติของเบต้ากลูแคนกล่าวไม่ได้ว่าอร่อย แต่เนื่องจากปราศจากการเจือปนสีและกลิ่นสังเคราะห์ จึงไม่มีกลิ่นและรส สามารถรับประทานได้โดยง่าย รสชาติจะอมเปรี้ยวเล็กน้อยแทบไม่มีรส กลิ่นคล้ายน้ำมันมะพร้าวซึ่งเป็นกลิ่นธรรมชาติจากยีสต์ดำ

8. Q:เบต้ากลูแคนใช้ประกอบอาหารได้หรือไม่
A: เนื่องจากเบต้ากลูแคนสามารถทนความร้อนสูงโดยไม่สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ ดังนั้นสามารถนำมาประกอบอาหารได้ และเนื่องจากไม่มีกลิ่นและรส จึงไม่ทำให้กลิ่นและรสชาติของอาหารผิดแปลกไปจากเดิม นอกจากนี้ลักษณะที่เป็นเจลจะทำให้อาหารมีความเนียนนุ่มมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เรายังสามารถใช้เบต้ากลูแคนเพื่อประกอบอาหาร ตัวอย่างเช่น อาหารประเภทต้ม นึ่ง ผัด หุงข้าว ทำน้ำซุป เป็นต้น

9. Q:รับประทานเบต้ากลูแคนแล้วก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือไม่
A: เบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำได้มาจากธรรมชาติและไม่ใช่ยารักษาโรค จึงไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงแต่อย่างใด

10. Q:สามารถรับประทานเบต้ากลูแคนควบคู่กับยาที่ใช้อยู่เป็นประจำได้หรือไม่
A: เบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำเป็นสารประกอบจำพวกใยอาหาร จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ สามารถรับประทานร่วมกับยาได้เช่นเดียวกับอาหารประเภทอื่นๆ แต่เพื่อความมั่นใจแนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์

11. Q:การรับประทานมะโฮพร้อมกับการดื่มนมจะมีผลอย่างไร
A: ส่วนประกอบหลักของนมเป็นสารจำพวกโปรตีน เมื่อดื่มนมพร้อมกับมะโฮ นมจะไปเคลือบบริเวณผนังกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งขัดขวางการดูดซึมของมะโฮผ่านเข้าสู่ผนังลำไส้ หากต้องการดื่มนม ควรเว้นช่วงระยะเวลาห่างจากการทานมะโฮประมาณ 1-2 ชั่วโมง

12. Q:หญิงตั้งครรภ์สามารถรับประทานเบต้ากลูแคนได้หรือไม่
A: เบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำเป็นสารประกอบน้ำตาลหลายโมเลกุลมีคุณค่าทางโภชนาการ จึงเชื่อมั่นได้ว่าปลอดภัยต่อทารกในครรภ์

13. Q:เด็กทารกสามารถรับประทานมะโฮ (เบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำ) ได้หรือไม่
A: เบต้ากลูแคนเป็นน้ำตาลหลายโมเลกุลที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ส่วนประกอบที่สำคัญคือ น้ำ เบต้ากลูแคน และวิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นใยอาหาร จึงไม่ก่อให้เกิดผลอันตรายต่อเด็ก โดยเฉพาะในเด็กที่หย่านมแล้ว (การให้เบต้ากลูแคนในเด็กทารกสามารถ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของพ่อแม่)

14. Q:เบต้ากลูแคนปลอดภัยและน่าเชื่อถือหรือไม่
A: เบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำได้รับการรับรองคุณภาพจาก สถาบันคิตะซาโตะ ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงในเรื่องวัคซีนและภูมิคุ้มกัน สถาบันอิสระซึ่งทำการวิเคราะห์โครงสร้างระดับโมเลกุลของสารที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ (เบต้า-กลูแคน) กระทรวงสุขภาพ แรงงานและสวัสดิการแห่งประเทศญี่ปุ่น

15. Q:หลังจากเปิดซองแล้วเบต้ากลูแคนอยู่ได้นานเท่าไร และวิธีเก็บรักษาเป็นอย่างไร
A: ควรเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น หลีกเลี่ยงแสงแดด ความชื้นและอุณหภูมิสูง ซึ่งกระบวนการผลิตมะโฮจะไม่มีการเติมวัตถุเจือปนหรือสารกันบูดลงในผลิตภัณฑ์ ดังนั้นควรรับประทานมะโฮให้หมดซองต่อการบริโภคหนึ่งครั้ง สำหรับซองที่เปิดแล้วแต่ยังรับประทานไม่หมดแนะนำให้เก็บมิดชิดไว้ในตู้เย็นและควรใช้ให้หมดภายใน 7 วัน

16. Q:เบต้ากลูแคนมีสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ปนเปื้อนอยู่หรือไม่
A: เบต้ากลูแคนประกอบด้วย ของเหลวเพาะเชื้อ Aureobasidium (ยีสต์ดำที่สร้างสารเบต้า-กลูแคน) และวิตามินซีที่มีคุณค่าทางโภชนาการ จึงมั่นใจได้ว่าไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือมีสารอื่นปนเปื้อนอยู่








กลับหน้าแรก


หน้าถัดไป

Twitter

ฝากข้อความ


ShoutMix chat widget